อุปกรณ์และสารเคมี
หลอดกาแฟ หลอดทดลอง และสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์(น้ำปูนใส)
ไม้หนีบ ตะเกียง แอลกอฮอล์ จานหมุนโลหะหรือถ้วยกระเบื้องเผาสาร
วิธีทดลอง
1. เป่าลมหายใจลงไปในน้ำปูนใสนาน ๆ จนกระทั่งเห็นการเปลี่ยนแปลง บันทึกผล
2. จากนั้นให้เป่าต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลง สังเกตและบันทึกผล
3. แบ่งสารละลายนี้มาสักเล็กน้อยใส่ลงในจานหลุมนำขึ้นตั้งไฟระเหยจนแห้ง สังเกตและบันทึกผล
4. แบ่งสารละลายนี้มาอีกเล็กน้อย เติมน้ำสบู่ลงไป 5 หยด เขย่า บันทึกผล
คำถาม
1. นักเรียนคิดว่ามีสารใดในลมหายใจที่ทำให้น้ำปูนใสเปลี่ยนแปลง
…………………………………………………………………………………………………….
2. การเป่าลมหายใจไปเรื่อย ๆ นาน ๆ ลงในน้ำปูนใสผลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………
3. เมื่อแบ่งสารละลายในข้อ 2 มาสักเล็กน้อย นำมาระเหยแห้งจะเกิดสารอะไรขึ้น
………………………………………………………….( สารนี้คือหินงอกหินย้อยนั่นเอง )
4. แบ่งสารละลายในข้อ 2 มาสักเล็กน้อย ประมาณ 1 ส่วน 4 ของหลอด ใส่หลอดทดลองเติมน้ำสบู่ลงไป 5 หยด เขย่า บันทึกผล
…………………………………………………………………………………………………….
ความรู้เกี่ยวกับการเกิดหินงอกหินย้อยในธรรมชาติ
พวกเราบางคนคงเคยไปเที่ยวชมความงามภายในถ้ำที่พบตามภูเขาบางลูก ความงามที่ได้จากธรรมชาตินี้มีลักษณะเป็นหินงอกหินย้อยออกจากเพดานถ้ำ เหมือนส่วนของรากพืช และสิ่งของ ตามแต่มนุษย์ที่พบจะจินตนาการ และพากันตั้งชื่อต่าง ๆ นานา บางแห่งงอกออกมาเป็นรูปพระพุทธรูป คนพบเห็นก็นำพวงมาลัยไปกราบไหว้ บางแห่งเป็นรูปฤๅษีนั่งภาวนาสมาธิ ก็มีคนนำผ้าลายหนังเสือไปห่มให้ แล้วมีรูปเทียนปัก บางคนอาจมานั่งขอหวยขอตัวเลขไปซื้อล็อตเตอรี่ ในฐานะที่เป็นนักคิดนักสังเกต เราควรมาพิจารณาหา เหตุผลว่าจริง ๆ แล้วคืออะไร เกิดได้อย่างไร เนื่องจากว่าผู้ที่มีนิสัยเป็นนักวิทยาศาสตร์เมื่อไปที่ใดก็ตาม เขาจะช่างสังเกต พบเห็นสิ่งก็มักจะเกิดความสงสัย แล้วหาทางแก้ความสงสัยด้วยการค้นคว้า ทดลอง บันทึกผลไว้ให้คนรุ่นหลังได้รับทราบ เช่นเดียวกับการเกิดหินงอกหินย้อยนี้ อธิบายได้ว่า บนพื้นโลกที่เราอาศัยอยู่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นดิน หิน ซึ่งดิน หินเหล่านี้ก็คือแร่ธาตุต่าง ๆ ดินหินแต่ละแห่งมีสีต่าง ๆ กันเพราะมีองค์ประกอบของธาตุที่ประกอบกันเป็นแร่ต่างกัน มีธาตุชนิดหนึ่งในอีกหลายธาตุในธรรมชาติที่เป็น องค์ประกอบในดิน หิน ธาตุนั้นคือแคลเซียม เราพบทั่วไปตามถ้ำ ภูเขาต่างๆ ในโลก เมื่อฝนตกลงมาครั้งนานเท่าที่โลกกำเนิด ธาตุนี้จะร่วมกันกับฝนโดยธรรมชาติ เกิดเป็นสารประกอบที่มีฤทธิ์เป็นด่างหรือเบส สารนี้คือสารละลายแคลเซียมไฮดรอกไซด์ เมื่อสารนี้ได้สัมผัสกับอากาศ ซึ่งมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปะปนอยู่ เมื่อมีเวลานานเข้าและมีจำนวนมากเกินพอจะทำปฏิกิริยาเกิดเป็นสารประกอบที่เป็นตะกอนและแข็งตัวได้ เราเรียกว่า หินปูนหรือแคลเซียมคาร์บอเนตกับน้ำ แต่ยังไม่แข็งตัวเพราะมีน้ำปนอยู่ นอกจากน้ำระเหยตัวหมด จึงจะเกิดการตกตะกอนทับถมเป็นก้อนแข็งเกิดขึ้น เป็นการเกิดภูเขาหินปูน ซึ่งเราบางอาจเคยนั่งรถผ่านแถวจังหวัดลพบุรี สระบุรี มีโรงงานปูนซีเมนต์ มีการระเบิดหินปูนมาทำซีเมนต์ใน การก่อสร้างบ้าน หรือถนนหนทางที่พบเห็นโดยทั่วไป ปฏิกิริยาที่กล่าวมานั้นยังมิได้หยุดเพียงเท่านั้น เพราะใช้เวลาการเกิดนานนับเป็นพันล้านปี ดังนั้น ถ้ายังมีน้ำหินปูนก็เกิดขึ้นจำนวนมาก แลในอากาศมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากเกินพอ ทั้ง 3 สารจะเข้ารวมตัวกันทางเคมีเกิดเป็นสารประกอบตัวใหม่ที่ละลายปนอยู่ในน้ำ สารนั้นคือแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนต ซึ่งเป็นสารสำคัญที่เมื่อปนอยู่ในน้ำจะทำให้แหล่งนั้นเป็นน้ำกระด่างชั่วคราว และเป็นสารที่สำคัญที่ก่อให้เกิดหินงอกหินย้อยที่สวยงามตามธรรมชาติ สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เนื่องจากเมื่อฝนตกลงมาในทุก ๆ ปีปฏิกิริยาก็จะเกิดเป็นขั้นตอนดังกล่าว บางส่วนของเปลือกโลกเป็นพื้นที่ราบ บางส่วนเป็นพื้นที่สูง เรียกภูเขา ภูเขาบางลูกมีแอ่งน้ำใหญ่อยู่บนยอดเขา บ้างครั้งไหลตกลงมาเป็นน้ำตก แรงของน้ำที่ไหลตามยอดเขาลงมามีการกระแทกกัดเซาะจนกระทั่งเกิดเป็นโพรงในเขาเรียกว่า ถ้ำ น้ำที่ไหลชะลงมาภายในถ้ำจะมีสารแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตละลายมาด้วย และไหลย้อนตกลงมาจากยอดถ้ำเป็นสายเต็มไปหมด ตกลงมาถึงพื้นล่างของถ้ำมาเกิดเป็นแอ่งน้ำที่ก้นถ้ำอีก ทำให้ภายในถ้ำบางแห่งเย็น บางแห่งร้อนมาไม่มีอากาศหายใจ เมื่อเขาไปต้องระเบิดถ้ำให้เป็นรูอากาศเข้าได้ จากเหตุการณ์ที่สารละลายของแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตหรือน้ำกระด่างชั่วคราวไหลย้อยลงมาเป็นสาย นานไปเมื่อได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทำให้สารนั้นสลายตัวกลับมาเป็นไอน้ำ และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทิ้งส่วนที่หรือคือหินปูน (แคลเซียมคาร์บอเนต) ให้แข็งตัวอยู่ ดังนั้นถ้าไหลย้อยลงมาเป็นสายต่างๆ แล้วแข็งตัวในอากาศ จะกลายเป็นหินย้อย และบางส่วนที่ยังไม่แข็งตัวตกลงมาพื้นล่างถ้ำ แล้วมาละเหยตัวภายหลังจะเกิดเป็นหินงอกขึ้นมาสวยงามมาก ทำให้คนมองเห็นรูปทรงต่าง ๆ ดังกล่าวมาข้างต้น นี่แหละคือการเกิดหินงอกหินย้อย
เหตุการณ์ดังกล่าวมานี้เราสามารถสังเกตและทดลองได้ในชีวิตประจำวัน ถ้าเราเป็นช่างคิดช่างสังเกตจะพบว่าเมื่อนักเรียนนำน้ำที่ได้จากแหล่งน้ำต่าง ๆ จะเป็นคู คลอง หนอง บึง น้ำ บาดาล หรือน้ำประปา นำมาต้มนานหลายปีจะพบว่าบริเวณก้นกา หรือกระติกน้ำจะเกิดเป็นสารแข็ง ๆ สีออกชาน้ำตาลเกาะแน่นอยู่ เราเรียกว่า ตะกรัน ซึ่งก็คือตะกอนของหินปูนที่สลายออกมาจากน้ำกระด้างชั่วคราว ( น้ำที่มีแคลเซียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตละลายอยู่) ตามปฏิกิริยาที่กล่าวมาข้างต้น นอกจากนั้นสิ่งเหล่านี้เราอาจทดสอบง่าย ๆ ในห้องปฏิบัติการ หรือนอกจากห้องปฏิบัติการที่ได้ ซึ่งจะกล่าวไว้ในบทปฏิบัติการ
แหล่งที่มา : พันธุ์ทิพย์ ทิมสุกใส มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา